โครงสร้างทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
Information Technology Infrastructure
โครงสร้างพื้นฐานของเทคโนโลยีสารสนเทศ
เป็นกรอบงานบูรณาการภายใต้เครือข่ายดิจิตอลทำงานอยู่
โครงสร้างพื้นฐานนี้ประกอบด้วย ศูนย์ข้อมูล,
เครื่องคอมพิวเตอร์, เครือข่ายคอมพิวเตอร์, อุปกรณ์จัดการฐานข้อมูลและระบบการกำกับดูแลในเทคโนโลยีสารสนเทศและบนอินเทอร์เน็ต
โครงสร้างพื้นฐานเป็นฮาร์ดแวร์ทางกายภาพที่ถูกใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายตัวและผู้ใช้หลายคน
โครงสร้างพื้นฐานประกอบด้วยสื่อการส่งผ่าน,
รวมทั้งสายโทรศัพท์, สายเคเบิลทีวี,
ดาวเทียมและเสาอากาศ
และยังมีเราท์เตอร์หลายตัวที่ใช้ถ่ายโอนข้อมูลระหว่างเทคโนโลยีการส่งผ่านทั้งหลายที่แตกต่างกันในการใช้งานบางครั้ง
โครงสร้างพื้นฐานหมายถึงการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์
และไม่ติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่นๆที่เชื่อมต่อกัน อย่างไรก็ตาม
สำหรับผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศบางคน โครงสร้างพื้นฐานถูกมองว่าเป็นทุกอย่างที่สนับสนุนการไหลและการประมวลผลของข้อมูลบริษัทโครงสร้างพื้นฐานมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอินเทอร์เน็ต
พวกเขามีอิทธิพลว่าที่ไหนบ้างต้องมีการเชื่อมโยง,
ที่ไหนบ้างที่ข้อมูลจะต้องถูกทำให้
สามารถเข้าถึงได้ และ จำนวนข้อมูลที่สามารถดำเนินการได้และทำได้รวดเร็วได้อย่างไร
สามารถเข้าถึงได้ และ จำนวนข้อมูลที่สามารถดำเนินการได้และทำได้รวดเร็วได้อย่างไร
วิวัฒนาการของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที
วิวัฒนาการของเทคโนโลยี หมายถึง การพัฒนาวิธีการ สิ่งของเครื่องใช้ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาสนองความต้องการ หรือเพิ่มความสามารถในการทำงานของมนุษย์โดยมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตลักษณะทางกายภาพ วัสดุ หน้าที่ใช้สอย การใช้งาน รวมถึงประสิทธิภาพของวิธีการ สิ่งของเครื่องใช้หรือผลิตภัณฑ์นั้นอย่างต่อเนื่อง
วิวัฒนาการของเทคโนโลยี หมายถึง การพัฒนาวิธีการ สิ่งของเครื่องใช้ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาสนองความต้องการ หรือเพิ่มความสามารถในการทำงานของมนุษย์โดยมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตลักษณะทางกายภาพ วัสดุ หน้าที่ใช้สอย การใช้งาน รวมถึงประสิทธิภาพของวิธีการ สิ่งของเครื่องใช้หรือผลิตภัณฑ์นั้นอย่างต่อเนื่อง
เทคโนโลยีสารสนเทศกำลังเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก
และยังมีผลต่อการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
เมื่อราว พ.ศ.2500 เทคโนโลยีสารสนเทศยังไม่แพร่หลาย
จะมีเพียงการใช้โทรศัพท์เพื่อการติดต่อสื่อสารและเริ่มมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยประมวลผลข้อมูล
ในอนาคตเทคโนโลยีแบบสื่อประสมจะช่วยเสริมและสนับสนุนงานด้านสารสนเทศให้ก้าวหน้าต่อไป
การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
การดำเนินชีวิตในปัจจุบันเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ที่มี่บทบาทเพิ่มขึ้น พ.ศ.2528
กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดให้มีการเรียนคอมพิวเตอร์จากเดิมเป็นวิชาเลือก
แต่ในปัจจุบันกำหนดให้นักเรียนทุกคนต้องเรียน
เพื่อให้เยาวชนทุกคนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศ
และนำไปประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม
เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการจัดการสารสนเทศมากที่สุด คือ
เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีวิวัฒนาการการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ดังนี้
ยุคที่ 1 การประมวลผลข้อมูล(Data
Processing Era)
-ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณและการประมวลผลข้อมูลของงานประจำ
ยุคที่ 2
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ(Management
Information System)
-มีการใช้คอมพิวเตอร์ในการช่วยในการตัดสินใจดำเนินการในด้านต่างๆ
ยุคที่ 3 การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ(Information
Resource Management)
-การใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเน้นถึงการใช้สารสนเทศที่จะช่วยในการตัดสินใจนำหน่วยงานไปสู่ความสำเร็จ
ยุคที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศหรือยุคไอที(Information Technology Era)
-ความเจริญของเทคโนโลยีมีสูงมาก
มีการขยายขอบเขตการประมวลผลข้อมูลไปสู่การสร้างและการผลิตสารสนเทศ
และเน้นความคิดของการให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นวัตถุประสงค์สำคัญ
แนวโน้มของเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์
แนวโน้มของเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์
เครื่องคอมพิวเตอร์มีสมรรถนะสูงขึ้น
โดยเฉพาะการทำงานได้เร็วขึ้น มีการคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี
คอมพิวเตอร์จะราคาเท่าเดิม แต่จะทำงานได้ดีกว่าเดิม 50
เท่าในด้านความเร็วและหน่วยความจำ ตามกฎของมัวร์ (Moore’s
Law) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท อินเทล (Intel) กล่าวคือ
ชิปจะมีความสามารถในการประมวลผลเพิ่มเป็นเท่าตัว
ในทุก 18 เดือน แต่ปัจจุบันการใช้วัสดุซิลิคอนผลิตชิปถึงจุดตีบตันเริ่มไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
ในทุก 18 เดือน แต่ปัจจุบันการใช้วัสดุซิลิคอนผลิตชิปถึงจุดตีบตันเริ่มไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
เครื่องคอมพิวเตอร์จะสามารถแก้ปัญหาได้เอง
(self-solving problem) เมื่อมีข้อผิดพลาด โดยไม่ต้องอาศัยมนุษย์
โดยเป็นฮาร์ดแวร์ที่มีซอฟต์แวร์ฝังตัว (embedded
system) เพื่อการทำงานเฉพาะ เช่น
ระบบคอมพิวเตอร์ฝังตัวอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ
การใช้นาโนเทคโนโลยี
(nanotechnology) นาโนเทคโนโลยีเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะมีบทบาทในการผลิตวัสดุอุปกรณ์ต่างๆที่มีสมรรถนะสูงขึ้น
เพราะใช้การเรียงตัวเองของอนุภาคขนาดเล็ก คือ
อะตอมหรือโมเลกุลในตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างแม่นยำและถูกต้องทำให้สามารถพัฒนาโครงสร้างวัสดุหรือสสารอันมีคุณสมบัติพิเศษรวมทั้งวัสดุอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดเล็กมากแต่มีสมรรถนะสูง
คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ในอนาคต
นาโนเทคโนโลยี หรือ
เทคโนโลยีในการควบคุมและผลิตสรรพสิ่งด้วยความแม่นยำระดับอะตอมนี้กำลังคืบคลานเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของเราอย่างรวดเร็ว
บทบาทหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดในอนาคตก็คือการเข้ามาแก้ปัญหาที่เป็นจุดตีบตันของวงการอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ในนามของ
"นาโนอิเล็กทรอนิกส์" รัฐบาลของประเทศอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่าง
สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น
ล้วนสนับสนุนให้นักวิจัยสาขานี้เร่งรีบทำงานเพื่อเป็นเจ้าของเทคโนโลยีนี้
สำหรับประเทศไทยนั้น
หากเราไม่ได้มุ่งหวังที่จะเก็บตกเทคโนโลยีเก่าอย่างไมโครอิเล็กทรอนิกส์แต่เพียงอย่างเดียวแล้ว
เราก็คงจะต้องเริ่มทำอะไรก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
และหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยของประเทศก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกำหนดวิสัยทัศน์ในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
แนวโน้มของเทคโนโลยีซอฟต์แวร์
ในอนาคตซอฟต์แวร์จะยิ่งเอื้อให้ใช้งานได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้มาก ขณะเดียวกันมีลักษณะการใช้งานเชิงกราฟิก
และการปฏิสัมพันธ์ที่โต้ตอบกันได้ทันทีมากขึ้น มีเครื่องมือช่วยผู้ใช้มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นคู่มือ คำถามที่ใช้บ่อยและอื่นๆ
ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง
ขณะเดียวกันซอฟต์แวร์เหล่านี้ยังพยายามพัฒนาบนมาตรฐาน เช่น
ซอฟต์แวร์ในองค์การปัจจุบันออกแบบให้ทำงานกับคอมพิวเตอร์หลากหลายลักษณะ เช่น
คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ พีดีเอ เป็นต้น
และยังมีมาตรฐานในการนำเสนอและจัดการเนื้อหาได้มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเอชทีเอ็มแอลและเอ็กซ์เอ็มแอล ขณะเดียวกันยังเป็นซอฟต์แวร์แบบบูรณาการ
เพื่อเทคโนโลยีที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์ที่มีแนวโน้มทีจะมีบทบาทมากขึ้นในปีหน้า
เป็นกระแสของการพัฒนาและรูปแบบการใช้งาน ได้แก่ Multi-touch,
Concurrent programming, Mashup, Service-oriented business applications (SOBA),
Cloud Computing, Portable Personality, Social Network Analysis, Video
Telepresense และ Microblogging
เทคโนโลยีบางตัวอาจสร้างรูปแบบการใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือการใช้ชีวิตประจำ
วันของเราเปลี่ยนไป บางตัวอาจทำให้การพัฒนาโปรแกรมและสภาพแวดล้อม มีความยืดหยุ่น
ปรับเปลี่ยน
หรือมีการเชื่อมประสานระหว่างกันได้ง่ายขึ้นทำให้เกิดแอปพลิเคชันที่มีความ
หลากหลายมากขึ้น
Multi-touch เป็นเทคโนโลยีที่สามารถรับ Input ได้หลายจุดพร้อมๆ กัน ต่างจากเทคโนโลยีแบบ Single-touch เช่น การใช้ Mouse ซึ่งสามารถรับรู้จุดการเลือกในเวลาหนึ่งได้เพียงจุดเดียว
ดังนั้น Multi-touch จึงเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างออกไป
โดยส่วนใหญ่จะเป็นการรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากรูปแบบการเคลื่อนไหวของนิ้ว
มือของผู้ใช้เพื่อเป็นการเลือกใช้เลื่อน
หรือขยายวัตถุที่แสดงผลอยู่ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่นำเทคโนโลยี Multi-touch มาใช้แล้ว เช่น เครื่อง iPhone ของบริษัทแอปเปิ้ล
ที่สามารถย่อย-ขยายรูปภาพ โดยใช้นิ้วสองนิ้ว เป็นต้นเชื่อมโยงระบบสารสนเทศต่าง ๆ
ให้สามารถทำงานร่วมกันและสนับสนุนการทำงานของทั้งองค์การ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น